Monday, May 5, 2014

Running Event 2014-05-04 : SUAN PRUEK 99 ULTRA MARATHON 2014

Race #36 : Ultra Marathon #1 : SUAN PRUEK 99 ULTRA MARATHON 2014

Race Detail
งานนี้เป็นงานวิ่งในสวนนวมินทร์ภิรมย์ความยาว 2.1 กิโลเมตร โดยจำกัดเวลาวิ่งที่ 10 ชั่วโมง วิ่งทำรอบให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยถ้าสามารถทำได้ 30 รอบ หรือ 63 กิโลเมตร จะได้รับถ้วย

Race Kit Collection Day
ที่จริงอยากจะไปลองซ้อมวิ่งที่สวนนวมินทร์ภิรมย์ดูบ้าง จะได้กะระยะการวิ่งและเดินเพื่อพักได้ และดูอุปสรรคในการวิ่งเพื่อวางแผนเพิ่มเติม แต่สุดท้ายกว่าจะได้มาที่สวนก็วันนี้แหละ วันรับเสื้อและเบอร์ ซึ่งตอนที่ไปถึงก็ไม่ได้ดูอะไรมากมาย ถามแค่เรื่องการฝากของและรับของระหว่างการแข่งขัน ทางทีมงานก็แจ้งว่าฝากไว้แล้วจะมารับและฝากเมื่อไหร่ก็ได้ในระหว่างการแข่งขัน เผื่อต้องการเปลี่ยนเสื้อผ้า หรือเอาของอะไรจากที่ฝากไว้ก็สามารถทำได้

สิ่งที่อยู่ใน Race Kit ก็คือ เสื้อ (สวยนะผมชอบ), Bib และ chip แบบติดกับรองเท้า (และต้องคืน), น้ำดื่ม ธ.ออมสิน, Salonpas

Race Day
มาจอดรถที่การเคหะประมาณตีห้ากว่า ๆ เนื่องจากทางผู้จัดแนะนำว่าควรมาจอดที่นี่ แต่ก็เห็นรถจอดอยู่ริมสวนยาวเป็นพรืดเลย ไม่รู้มันทำให้เกะกะคนแถวนั้นหรือเปล่านะ แต่ผมก็ทำตามคำแนะนำแหละ เอาสบายใจตัวเอง เดินไกลอยู่ แต่ก็ไม่ได้น่ากลัวอะไรสำหรับผู้ชายหน้าเหี้ยมแบบผม หุหุ

Race Plan
ตัดสินใจประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนแข่งว่าจะเดิน 500 เมตร สลับกับวิ่ง 500 เมตร ไปเรื่อย ๆ ให้ได้ 30 รอบ ในเวลา 10 ชั่วโมง นั่นคือโดยเฉลี่ยต้องทำเวลาต่อรอบอยู่ที่ 20 นาที แต่คิดว่า 18 นาทีน่าจะสามารถทำได้ ก็ต้องลองดู

Longest-ever Day Start
ก่อนเริ่มเจอกับนัท เพื่อนที่วิศวะ ก็ดีใจนะ รู้สึกดีที่มีเพื่อนมาวิ่งด้วย แม้ว่าจะไม่ได้วิ่งด้วยกันตลอดทางแต่ทางมันก็วน ๆ กันแค่นี้แหละ คงจะได้เจอกันเรื่อย ๆ

พอเริ่มการแข่งขัน ซึ่งเริ่มพร้อมกันทั้งประเภทเดี่ยวและทีม ผมก็ค่อย ๆ ไปช้า ๆ ตามสไตล์หอยทากนักวิ่ง รอบแรกเป็นการสำรวจป้าย ซุ้มน้ำ และทางวิ่ง พบว่ามีสะพานอยู่ที่ระยะ 400 - 600 เมตร และ 1400 - 1600 เมตร ซึ่งผมกะว่าจะไม่วิ่งข้ามสะพานอยู่แล้ว ประกอบกับมีซุ้มให้น้ำอยู่ที่ระยะ 400 เมตร และ 1600 เมตรพอดี จึงวางแผนดังนี้

  1. วิ่งไปจนถึงระยะ 400 เมตร หยุดเพื่อรับน้ำ
  2. เดินข้ามสะพาน และเดินต่อจนถึงระยะ 800 เมตรจึงวิ่ง
  3. วิ่งจนถึงระยะ 1400 เมตร ให้เดินข้ามสะพานและไปรับน้ำที่ระยะ 1600 เมตร
  4. ถึงระยะ 1800 เมตรให้วิ่ง แล้ววนกลับไปข้อ 1
นั่นก็คือใน 1 กิโลเมตรผมจะเดิน 400 เมตร และวิ่ง 600 เมตร คิดว่าไม่น่าจะทำให้แผน 500-500 ของผมเสียหายอะไร แต่ผมว่าผมคิดผิดนะ แผนนี้เดินมากเกินไปหรือเปล่า?

Half Marathon
ดำเนินแผนการวิ่งได้เป็นอย่างดีใน 10 รอบแรก วิ่งและเดินสบาย ๆ ทำเวลาได้ดีทีเดียว จบ 10 รอบในเวลา 3 ชั่วโมง นั่นคือได้กำไรอยู่ 1 รอบเต็ม ๆ (ตามแผนหยาบ 20 นาทีต่อรอบ เวลา 3 ชั่วโมงควรได้แค่ 9 รอบ) ไม่ค่อยเหนื่อย แดดยังไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่ เพราะเป็นช่วงเวลา 6.00 - 9.00 เท่านั้นเอง ถือว่าผ่านระยะ Half Marathon ไปได้ด้วยดี ในใจก็คิดว่า น่าจะผ่าน 30 รอบได้สบาย ๆ แล้ว แต่...

Full Marathon
รอบที่ 11 - 15 (ระยะ 21 - 31.5 กิโลเมตร) ช้าลงนิดหน่อย รู้สึกว่าเหนื่อยขึ้น และกล้ามเนื้อมียุบบ้าง ใช้เวลาไป 1 ชั่วโมง 39 นาที (99 นาที) ก็เรียกว่าเท่าทุน เพราะยังอยู่ในเกณฑ์ 20 นาทีต่อรอบ แต่ไม่ได้กำไรเพิ่มขึ้น ซึ่งนั่นเป็นสัญญาณอันตรายในระยะต้น

รอบที่ 16 - 20 (ระยะ 31.5 - 42 กิโลเมตร) เป็นช่วงที่เริ่มเหนื่อยมาก ต้องสลับไปเดินนานขึ้น และมีอาการบาดเจ็บที่เข่า โดยใช้เวลาไป 1 ชั่วโมง 55 นาที (115 นาที) นี่เป็นจุดที่ทำให้ผมรู้ตัวว่า พลาดแล้วหละ เพราะเวลาที่เหลืออยู่อีก 3 ชั่วโมงครึ่ง ด้วยความเหนื่อยระดับนี้ และอาการบาดเจ็บที่พับในเข่าขวา คงไม่อาจจะปั๊มอีก 10 รอบได้ทัน จิตตกและเดินปลงอยู่พักใหญ่ ๆ

Ultra "Walk" Marathon
หลังจากรอบที่ 20 (ระยะ 42 กิโลเมตรเป็นต้นไป) "ทุกอย่างก้าวคือความเจ็บปวด" วิ่งไม่ได้แล้ว เดินอย่างเดียว พอเดินไปพักใหญ่ ๆ ลองวิ่ง ก็วิ่งได้พักเดียว ปวดพับในเข่าขวามาก จนคิดว่า "เลิกดีมั้ยวะ อาการแย่ขนาดนี้" มีรอบนึงไปถึง Check Point แล้วน้องกิ๊ปเดินมาคุยด้วย บอกน้องว่า พี่ไม่ไหวแล้ว น้องก็ให้กำลังใจมาว่า ไปพักกินอะไรก่อนนะ แล้วค่อยไปต่อ ทำให้ผมคิดได้ว่า "ไหน ๆ ก็มาแล้ว เดินให้ครบเวลาก็แล้วกัน"

ช่วงรอบที่ 21 - 25 มีหยุดนั่งเป็นพัก ๆ แต่พอถึง Check Point รอบที่ 25 เห็นเวลา 9 ชั่วโมงนิด ๆ คิดว่าถ้าเดินไม่พัก น่าจะได้ซัก 2 รอบ ทำให้รอบที่ 26 - 27 เดินตลอด ไม่หยุดเลย เข้าเส้นชัยเวลา 9 ชั่วโมง 52 นาที แล้วก็หยุดเพื่อคืน Chip สรุปว่าทำไปได้ทั้งหมด 27 รอบ คิดเป็นระยะทาง 56.7 กิโลเมตร

The Crowd
สิ่งที่ไม่อาจละเลยได้ในงานนี้ก็คือทีมงานและกองเชียร์ทุกท่าน ที่อดทนทำหน้าที่และเชียร์ตลอด 10 ชั่วโมง ทั้งร้อน ทั้งเหนื่อยไม่แพ้นักกีฬาเลย นับถือน้ำใจทุกท่านครับ อ้อ ลุงสวง กองเชียร์อัลตร้า ผมเห็นท่านยืนตบมือเขียร์ตลอด 10 ชั่วโมง ไม่แพ้นักกีฬาเลย พอวิ่ง (และเดินผ่าน) ท่านจะตบมือและพูดให้กำลังใจทุกคน ทุกครั้ง ขอบคุณครับลุง ปีหน้าเจอกันใหม่แน่นอน

เรื่องอาหารและน้ำสำหรับงานนี้เรียกว่าโคตรเหลือเฟือครับ เท่าที่เห็นมีซุ้มน้ำของทีมผู้จัดงาน 2 ซุ้มที่ระยะ 400 เมตร และ 1600 เมตร และมีของกิน 1 ซุ้ม (ที่ระยะ 1400 เมตร) ซึ่งไม่เคยพร่อง น้ำมีตลอด ของกินจัดเต็ม ผมแวะกินน้ำแทบทุกครั้ง โดยใช้แก้วใบไม้ บางรอบจะกินน้ำผสมเกลือแร่ด้วย ส่วนอาหารผมชอบกินมันต้มรอบเว้นรอบ เพราะมันไม่เปื้อนมือ และกินง่ายดี มีอยู่รอบนึง น่าจะประมาณเที่ยงวัน กลัวหิวเลยกินไก่ทอดและไอติมไปด้วย

นอกจากน้ำและอาหารลองผู้จัดงานเอง ก็ยังมีจากซุ้มต่าง ๆ ที่แต่ละชมรมและกลุ่มเตรียมมาปันให้นักวิ่งทุกคน โดยไม่เลือกว่าเป็นคนที่ตัวเองรู้จักหรือไม่ ผมได้ข้าวเหนียวจากทีมวิ่งตีนเปล่า ได้น้ำจากเครซี่รันนิ่ง ทอฟฟี่เค้กจากเสี่ยดำ ได้น้ำตาลสดจาก... เอิ่ม... ขอโทษครับจำไม่ได้จริง ๆ ว่าซุ้มไหน แต่เป็นซุ้มที่อยู่ใกล้ ๆ Check Point

"ขอขอบคุณกองเชียร์และทีมงานทุกท่านจากใจครับ"

The Heat

ที่ Check Point จะมีป้าย LED อยู่ 2 ป้าย โดยจะแสดงเวลา และอุณหภูมิของอากาศในขณะนั้น ได้ยินพิธีกรประกาศว่าอุณหภูมิสูงสุดของวันนี้คือ 43 องศาเซลเซียส ในช่วงเวลาใกล้ ๆ เที่ยง ซึ่งมันร้อนจริง ๆ แดดเผาแรงสะใจมาก ผมต้องใช้ Naroo mask ปิดคอไว้ตลอด แทบจะพันหน้าเป็นมัมมี่เลยทีเดียวแหละ

แต่ความร้อนเหล่านี้ก็บรรเทาได้ด้วยน้ำเย็น ๆ จากสปริงเกอร์ของทีมผู้จัด และน้ำใส่น้ำแข็งจากกองเชียร์นี่แหละ หลาย ๆ ซุ้มมีฟองน้ำชุบน้ำเย็นบริการ โดยมี 2 ซุ้มที่ผมเข้าไปรับน้ำเย็นบ่อย ๆ คือซุ้มของเครซี่รันนิ่ง และพี่ผู้หญิงท่านนึงแถว ๆ ระยะ 1400 เมตร ผมเห็นแกเล่นสนุกเหมือนเล่นสงกรานต์ ก็เลยสนุกไปกับแกด้วย สนุกดีครับ ขอบคุณทุกท่านที่นำความเย็นมาช่วยดับร้อนให้นักกีฬาครับ

Finally, it's rain
หลังจากแดดเผามาตั้งแต่ก่อนเที่ยง ก็ยังไม่เห็นสัญญาณว่าจะมีฝนตก จนกระทั่งชั่วโมงท้าย ๆ ฝนเริ่มตั้งเค้า และ... ตกครับ ก็ดีใจนะที่ฝนตก แต่มาตกอะไรตอนเน้ ไม่ตกไปตั้งแต่ 43 องศาหละแม้... สงสัยเกรงใจผู้จัด เดี๋ยวงานนี้จะไม่โหดสะใจ หุหุ ซึ่งการตกปรอย ๆ แบบนี้ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เพราะมันทำให้ความร้อนจากพื้นระอุขึ้นมาอีก แต่เนื่องจากเป็นรอบท้าย ๆ ที่ผมปลงแล้ว เดินอย่างเดียว ก็เลยไม่มีผลเท่าไหร่

บทสรุป
ผมชอบงานวิ่งนี้นะ โหด แต่สบายใจที่จะได้วิ่ง และทำให้ผมได้ทดสอบสมรรถภาพตัวเองว่าสามารถทำระยะได้ไกลแค่ไหนภายในเวลา 10 ชั่วโมง ปีหน้าผมจะสมัครอีกแน่ครับ และจะพยายามทำระยะให้ได้ถ้วยให้จงได้ สู้!

Sunday, February 23, 2014

Running Event 2014-02-23 : Ao Dong Tan Half Marathon

Race #33 : Half Marathon #10 : Ao Dong Tan Half Marathon

Race Kit Collection Day
เดินทางออกจากกรุงเทพฯ ประมาณ​ 11 โมง แวะพักกิน Burger King ที่จุดพักกลางมอเตอร์เวย์ แล้วก็ตรงดิ่งไปที่กองเรือยุทธการ สัตหีบ ตอนรับ Race Kit มีปัญหาเล็กน้อย คือ เสื้อเบอร์ XL ไม่มี ให้เลือกระหว่าง L และ XXL เลยได้เบอร์ L มา ซึ่งถือเป็นโชคดีเพราะเบอร์ L หลวมนิดเดียว ใส่กำลังสบาย ถ้าไปเลือก XXL หละก็แย่แน่ ส่วนอีกปัญหาน่าจะเกิดจากโอนเงินช้าไป เจ้าหน้าที่เลยไม่ได้อัพเดตและเตรียม Bib ไว้ให้ จึงได้ Bib เลขใหม่เอี่ยม M4202 มา ได้ของเรียบร้อยจึงเดินทางไปที่พักที่จองไว้

งานนี้วิ่งที่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี แต่จองที่พักไว้ที่ อ.บ้านฉาง จ.ระยอง พักข้ามจังหวัดเลยทีเดียว แต่ไม่ใช่ปัญหาเพราะระยะทางจาก อ.บ้านฉาง มากองเรือยุทธการ สัตหีบ แค่ 16 กิโลเมตรเท่านั้น

"บ้านฉาง อพาร์ตเมนต์" คือที่พักในคราวนี้ เนื่องจากเป็นอพาร์ตเมนต์ที่มีคนอยู่ระยะเวลานาน ๆ ด้วย ทำให้ค่อนข้างถูกทางกับผม เพราะมีปลั๊กให้เยอะดี ตู้เย็นใหญ่ (แต่ก็ไม่ได้ใช้อะไร) มีโต๊ะกินข้าวแบบที่ใช้นั่งทำงานได้ มีทีวี (แต่ก็ไม่ได้เปิด) แอร์เย็นดีทีเดียว โดยต้องเปิดไว้ที่ 20 องศานะ เกินกว่านั้นเหมือนจะมีแต่ลม เสียอย่างเดียวผมรู้สึกว่ามีกลิ่นอับอยู่นิด ๆ ทั้งในตู้เสื้อผ้า และในห้อง แต่อยู่คืนเดียว 700 บาท ก็โอเคนะ

ตกเย็นต้องหาอะไรใส่ท้องเพื่อเตรียมพลังงานไว้สำหรับการวิ่งในวันพรุ่งนี้ ลองเดินดูแถว ๆ ที่พัก เนื่องจากอยู่ในแหล่งชุมชน พบร้านที่น่าจะให้พลังงานได้ดี คือร้าน "คิงคอง สเต็ก" กะจะเข้าไปกินพาสต้าเป็นหลัก แต่พอเห็นสเต็กแล้วก็ต้องสั่งนะน่ากินอยู่ กินสเต็กกันคนละจาน สปาเก็ตตี้อีกคนละจาน ตบท้ายด้วยมะกะโรนีอีกคนละจาน รวมทั้งหมด 2 คน 6 จาน กินกันอย่างกับจะไปวิ่งร้อยโล หลังจากกลับที่พักก็รอเวลาขึ้นอืดและอาบน้ำนอนตอนประมาณ 3 ทุ่มครึ่ง โดยตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอนตี 3 จะได้ตื่นมากินของที่เตรียมไว้คือ กล้วยตากพลังแสงอาทิตย์ และแลคตาซอย

วิ่งอย่างมีแผน
แผนการวิ่งวันนี้คือ แบกเป้น้ำวิ่ง 3 ชั่วโมง นั่นคือวิ่งช้า ๆ ไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องรีบ เน้นให้ Time-on-foot ครบ 3 ชั่วโมง

นักวิ่งในความมืด
กำหนดเวลาปล่อยตัว 5.30น. ยังมืดอยู่ และเนื่องจากวิ่งช้า น่าจะไม่ทันกลุ่มแนวหน้าและแนวกลาง ซึ่งผมคิดว่าแถว ๆ กรมทหารน่าจะมีไฟตลอดทางวิ่งแหละนะ แต่... ผมคิดผิด มีอยู่หลายช่วงทีเดียวที่ไม่มีไฟ ต้องอาศัยความสว่างจากกระบองไฟ (สีแดง ๆ หนะครับ) และจากไฟฉายของเจ้าหน้าที่ดูแลการแข่งขัน เพื่อบอกทิศทาง ต้องรอจนถึงเวลาประมาณ 6 โมงเกือบครึ่ง ฟ้าถึงจะสว่าง มองเห็นอะไร ๆ ได้ชัดเจน รู้งี้เอาไฟส่องกบมาด้วยดีก่า

เรือหลวงจักรีนฤเบศร
หนึ่งในไฮไลต์ของงานนี้คือการแวะชม "เรือหลวงจักรีนฤเบศร" ที่กิโลเมตรที่ 9 ก่อนที่จะวิ่งไปถึง ก็เห็นเรือแต่ไกลแล้วหละ และเห็นว่ามีคนอยู่บนเรือ ก็นึกว่า เอ... เค้าให้ขึ้นไปวิ่งบนเรือด้วยเหรอ ดูท่าจะลำบากนะ พอวิ่งไปเกือบถึงก็พอจะเดาได้ว่า อ้อ... กองเชียร์นี่เองที่อยู่บนเรือ น่ารักจริง ๆ ครับ ก่อนวิ่งผ่านได้ถ่ายรูปไว้ขณะเดิน แต่พอเข้าใกล้กองเชียร์ปุ๊บ กฎของนักวิ่งทำงานทันที "วิ่ง สิ วิ่ง!" ก็วิ่งผ่านกองเชียร์ ตบมือและผงกหัวขอบคุณกองเชียร์อย่างแข็งขัน พอลับตากองเชียร์ก็เดินสิครับ แหม่ ตอนเดินอยู่ว่าจะโพสรูปลง Instagram แต่สะกดชื่อเรือเค้าไม่ถูก ถึงกับต้องหาด้วย Google ก่อนจึงค่อยโพส เสียเวลาพอดู (ข้ออ้างนั่นแหละครับ)

วิธีดูเนิน
ช่วงกลับจากเรือหลวงจักรีนฤเบศร กิโลเมตรที่ 11 ถึง 13 เป็นเนินขึ้นบ้างลงบ้างสลับกัน จนงง ๆ ว่าตอนนี้ตูขึ้นหรือลงเนินอยู่ แต่โชคดีที่มีรั้วอยู่ข้าง ๆ ทำให้รู้ได้ว่าตอนนี้เราขึ้นหรือลง ดูรั้วเอา ง่ายดีนะ

เนินน้องเต่า
อีกหนึ่งไฮไลต์ของงานนี้ก็คือ ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล ที่กิโลเมตรที่ 17 ได้เจอน้องเต่ายักษ์ ถ่ายรูปเก็บไว้และน้องเต่าก็ส่งขึ้นเนินโคตรชัน ที่ไม่กล้าคิดจะวิ่ง แค่เดินก็ยากแล้ว

พี่ครับ ถุงเท้าครับ ทรีไทม์ส
ที่ประมาณกิโลเมตรที่ 19 พี่คนข้างหน้าทำถุงเท้าหล่น (เค้าถอดรองเท้าเพื่อวิ่งเท้าเปล่ากับกลุ่ม BBRC) ผมก็เก็บถุงเท้าแล้ววิ่งตามเค้าไปและบอกว่า "พี่ครับ ถุงเท้าครับ" พี่เค้าคงกำลังคุยอย่างเข้มข้นกับกลุ่ม BBRC เรื่องการวิ่งเท้าเปล่าอยู่เลยไม่ได้ยิน ผมก็เรียกอีกสองสามครั้งจนพี่เค้าได้ยินจนได้แหละ ด้วยความหวังดีครับ เดี๋ยวพี่จะไม่มีถุงเท้าใส่กลับ อิอิ

ถึงเส้นชัยโดยสวัสดิภาพ
เข้าเส้นชัย ที่ระยะทาง 20.2 กิโลเมตร (แหม่ ไม่ถึง 21) ด้วยเวลา 2 ชั่วโมง 55 นาที 53 วินาที ได้รับเหรียญเรียบร้อย แต่ของกินอย่าไปนึกถึง หมดเกลี้ยงอยู่แล้ว วิ่งช้าขนาดนี้

รีวิวงานวิ่ง
เส้นทางวิ่งปลอดโปร่งโล่งสบายดีครับ ถือว่าเอาปอดมาฟอกด้วยอากาศสะอาด ๆ บ้างก็ดีเหมือนกัน และงานนี้เป็นอีกงานหนึ่งที่ผมประทับใจเรื่องการจัดการจราจร ไม่ว่าจะเพราะรถน้อยอยู่แล้วหรือยังไงก็เถอะ เอาเป็นว่าผมรู้สึกปลอดภัย ไม่ต้องกลัวรถมาสอยกลางทางก็พอใจแล้วครับ น้ำมีให้บริการอย่างพอเพียง (ผมคิดว่าพอนะเท่าที่สังเกตดู เพราะไม่ได้ดื่มเอง เนื่องจากแบกเป้น้ำไป) เสียอยู่ 1 อย่างคือมีชาให้ดื่มแทนเครื่องดื่มเกลือแร่ (หรือผมหาเครื่องดื่มเกลือแร่ไม่เจอเองนะ)


Friday, February 14, 2014

Running Event 2014-02-08 : The Northface 100 Thailand 2014

Race #32 : 25k Trail : The Northface 100 Thailand 2014

Race Kit Collection Day
ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ประมาณ 8 โมงเช้า แวะพักกินชานมปั่นที่ Amazon Cafe กลางทาง 1 ครั้ง แล้วก็ตรงดิ่งเข้าที่พัก "เรือนไม้งาม" บนถนนธนะรัชต์ ห้องพักแม้ไม่ทันสมัยใช้คีย์การ์ด แต่ก็พักได้สบาย ๆ สำหรับการพัก 1 คืนก่อนวิ่งในวันพรุ่งนี้ เมื่อเก็บของเรียบร้อยก็เดินทางไปกินข้าวกลางวันที่ "จันผา" จัดข้าวกันไปคนละจานสองจานจนอิ่มเพื่อพลังงานในวันพรุ่งนี้ ไปถึง "โบนันซ่า รีสอร์ท" ประมาณบ่ายโมงครึ่ง ยังไม่ถึงเวลารับของจึงได้กรอกเอกสารอะไรสักอย่างที่น่าจะหมายถึงว่าถ้าเราประสบอุบัติเหตุระหว่างทาง เราจะรับผิดชอบด้วยตัวเอง ไม่เรียกร้องอะไรจากผู้จัดงาน (เดาเอา เพราะกรอกและเซ็นไปโดยที่ไม่ได้อ่าน... นิสัยเสียจริง ๆ ผม)

ออกตัวรอบสอง
นักวิ่ง 100k และ 50k ออกตัวพร้อมกันไปตั้งแต่เช้ามืดเรียบร้อยแล้ว ส่วน 25k ถูกแบ่งเป็น 2 รอบ ซึ่งจริง ๆ แล้วผมต้องอยู่รอบแรก แต่คราวนี้มีน้องผู้หญิงมาวิ่งด้วยอีกคน (ทั้งทีมมี 4 คน คือ ผม ยอด ก้อยและพี โดยก้อยอยู่รอบหลังคนเดียว) เลยตัดสินใจว่าออกตัวพร้อมกันที่รอบหลังนี่แหละ ซึ่งก็ช้ากว่ารอบแรกแค่ 5 นาที ไม่ต่างกันมาก อีกเหตุผลก็คือพวกเราวิ่งกันช้าอยู่แล้ว ออกช้าก็ดีจะได้ไม่ต้องไปเกะกะใคร พอถึงเวลา 6.35น. จึงได้เริ่มวิ่งออกไปผจญภัยกัน

ในช่วงแรก ๆ พวกเราวิ่งเกาะกลุ่มกันไปเรื่อย ๆ ซักประมาณ 4 กิโลเมตร ผมเริ่มเพิ่มระยะห่างออกไปจนที่ 6 กิโลเมตรก็น่าจะไม่เห็นกันแล้ว แต่คิดว่าน้อง ๆ น่าจะวิ่งกันได้แหละ ก้อยมากับพีเค้าก็คงช่วยกันดูแลได้ ไม่น่ามีปัญหาอะไร

ขึ้นเขาเบา ๆ
ประมาณก่อนกิโลเมตรที่ 7 เล็กน้อยได้กลับมาพบกับนักวิ่ง 10k ทางวิ่งค่อนข้างฝุ่นเยอะ คงเพราะมีนักวิ่งหลักพันคน วิ่งร่วมกันได้ซัก 1 กิโลเมตรก็ถึงจุดแยก ซึ่งตรงนี้เห็นมีคนโพสบอกว่ามีนักวิ่ง 25k หลงวิ่งไปกับทางของ 10k ด้วย แต่ผมโชคดีที่เห็นมีกลุ่มนักวิ่ง Barefoot ยืนแยกออกมาจากทางวิ่ง 10k ไปยังทางที่ถูกต้องของ 25k พอวิ่งเข้าทางที่ถูกต้องผมก็เดินกินเจลก่อนที่จะเจอกับ Check point 1 (CP 1) ของทาง 50k ซึ่งเป็น CP ระหว่างทาง CP เดียวที่จะได้เจอ นอกนั้นจะเป็น Water Station ทั้งหมด

CP 1 อยู่ตรงทางแยกที่นักวิ่งจะต้องขึ้นเขาลูกเล็กเพื่อวนกลับมาที่ CP 1 อีกครั้ง ระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร โดยเป็นทางขึ้นเขาและลงเขาอย่างละครึ่ง ขาขึ้นก็ค่อย ๆ วิ่งบ้างเดินบ้างตามประสา แต่ขาลงนี่ใส่กันกระจาย เพื่อทำเวลาคืน โดยช่วงขาลงของผมสวนกับก้อยและพีที่วิ่งคู่กัน ทำให้ทราบว่าตอนนี้อยู่ห่างกันประมาณ​ 3 กิโลเมตร ส่วนยอดคิดว่าคงอยู่ในช่วงที่อ้อมเขาพอดีเลยไม่ได้สวนกัน

เขาหินโหด
หลังจากวิ่งลงเขากลับมาที่ CP 1 อีกครั้ง ก็ได้พักกินเครื่องดื่มเกลือแร่ไปนิดหน่อย ก่อนที่จะเลี้ยวขวาไปเจอเขาหินโหด ตัวจริงเสียงจริง ผมจำได้ว่าน้องอะลิผู้จัดงานบอกว่าจุดที่โหดที่สุดของงานนี้คือ กิโลเมตรที่ 13 ซึ่งนั่นก็คือ สิ่งที่อยู่ตรงหน้าผมตอนนี้นี่แหละ มันคือทางขึ้นเขาชัน โดยต้องเดินเลียบผา ที่พร้อมจะผลักเราตกเขาไปทุกเมื่อ (เว่อไปมะ) ทำให้ต้องเดินเรียงเดี่ยวกันไปเท่านั้น ช่วงนั้นมีคณะร่วมกันประมาณ 7 คน ก็ค่อย ๆ เดินตามกันไปเรื่อย ๆ คุยกันเฮฮาตามประสานักวิ่งเทรล เป็นความสุขที่ไม่ค่อยได้พบในการวิ่งทางเรียบ

สิริรวมแล้ว เสียเวลากับช่วงกิโลเมตรที่ 12 - 14 บนเขาสูงชันไปประมาณ 40 - 50 นาทีเลยทีเดียว

นักเดินสลับวิ่ง
หลังจากลงเขามาก็ไม่มีเส้นทางที่เร้าใจมากนัก แต่พยายามวิ่งออมแรง โดยสังเกต HR ไว้เรื่อย ๆ พยายามให้ไม่เกิน 170 จึงต้องเดินสลับวิ่งไปเรื่อย ๆ จนถึงระยะ 500 เมตรสุดท้าย ตั้งใจวิ่งให้ถึงเส้นชัย พบน้องอะลิ ยืนเชียร์ผู้แข่งขันผู้พอดี ได้ทักทายก่อนเข้าเส้นชัยไปแบบสบาย ๆ

งานนี้ทำเวลาได้ 3 ชั่วโมง 51 นาที ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจสำหรับหอยทากนักวิ่งอย่างผม

รอน้อง ๆ อีก 3 คน เพื่อจะได้แสดงความยินดีตอนเข้าเส้นชัย 25k Trail ครั้งแรกในชีวิตของทั้งสาม ซึ่งเป็นระยะทางที่ไกลที่สุดที่ทั้งสามคนวิ่งอีกด้วย ยอดเข้าเส้นชัยมาก่อน ตามด้วยก้อยและพี ที่ผมเป็นห่วงมากว่าก้อยจะผ่านเขาหินโหดมาได้อย่างปลอดภัยมั้ย ซึ่งก็ปลอดภัยดี แต่ดูท่าทางใช้พลังกันไปมากทีเดียว แต่คิดว่าน่าจะชอบนะ หุหุ

หลังจากเข้าเส้นชัย
สิ่งแรก ๆ ที่ผมคิดหลังจากเข้าเส้นชัยก็คือ ปีหน้าจะมาอีกและต้องเพิ่มระยะแน่นอน ส่วนจะเป็น 50 หรือ 100 นั้นยังไม่ทราบ เพราะเส้นทาง 50 ปีนี้ (เส้นทาง 100 คือวิ่ง 50 สองรอบ) โหดมาก และจำกัดเวลาที่ 18 ชั่วโมง ทำให้มีผู้เข้าเส้นชัยระยะ 100 กิโลเมตร ทันเวลาเพียง 49 คน จากทั้งหมด 117 คน ผมคิดว่าด้วยศักยภาพของตัวเอง ณ ตอนนี้คงได้แค่ 50 ส่วน 100 ฝันไปก่อน

นอกจากความคิดในการร่วมงาน TNF100 Thailand 2015 แล้ว ยังอินต่อมาอีกหลายวันโดยสิงอยู่ในห้อง Trail & Ultra Runners in Thailand ใน Facebook ซึ่งมีพี่ ๆ น้อง ๆ นักวิ่งเทรลมาแบ่งปันประสบการณ์กันมากมาย ได้รู้จัก UTMF, UTMB, HK100 และรหัสชื่องานอื่น ๆ อีกมากมาย รู้ว่าต้องมีการเก็บคะแนนเพื่อที่จะร่วม งานใหญ่ ๆ บางงาน โอยยย... มันช่างท้าทายยิ่งนัก เวลาว่าง ๆ ก็ต้องเปิดดูข้อมูลงานอัลตร้าเทรล เป้น้ำ Trekking Pole และอื่น ๆ ทำให้ผมคิดว่า ผมหนะอยากวิ่งอัลตร้าเทรล มากกว่าที่จะก้าวไปทางไตรกีฬานะ

เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้ว การเตรียมตัวสำหรับการวิ่งเทรล 100 กิโลเมตรจึงเริ่มขึ้น ณ บัดนี้ เป็นกำลังใจให้หอยทากนักวิ่งตัวนี้ด้วยนะครับ


Sunday, January 26, 2014

Running Event 2014-01-26 : Khon Kaen International Marathon

Race #31 : Marathon #1 : Khon Kaen International Marathon

Race Kit Collection
เป็นครั้งแรกที่เดินเท่ไปเข้าช่อง Marathon หัวใจพองโต รู้สึกเสื้อมันคับ ๆ (เอิ่ม... คืออ้วนใช่มะ) ของที่ได้รับคือ เสื้อวิ่ง Bib (มี RFID ติดอยู่ด้วย ต้องแกะมาติดกับรองเท้าอีกที) น้ำมันมวย และถุงผ้าใส่ของทั้งสาม ขั้นตอนการรับของและการตรวจชิปไม่ยุ่งยากอะไร แป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว งานนี้ไม่ใหญ่มากแต่สะดุดกับบูทของ Mizuno เพราะป้ายลดราคา 70% เดินเข้าไปเล่น ๆ แต่ได้ของจริง ๆ นั่นคือ Running Jacket ราคา 600 บาท ตอนจะจ่ายตังค์เหมือนมีการทดสอบจิตใจเล็กน้อย คือเครื่องพิมพ์ใบเสร็จเสีย มีเวลาให้ตัดสินใจอีกครู่ใหญ่ แต่ 600 นะ ลดจาก 1,450 ทำให้ยังยึดมั่นการตัดสินใจตามเดิม

ตื่นก่อนปลุก
หลังจากรีบกินอาหารเตรียมพลังงานเรียบร้อย ก็รีบกลับโรงแรมเพื่อพักผ่อนและเตรียมตัวนอน ตั้งใจว่าจะนอนสองทุ่ม ตื่นตีสอง โดยตั้งนาฬิกาไว้ 4 ด่าน (2:00 2:15 2:30 2:45) ปรากฏว่าตื่นตั้งแต่ก่อนด่านแรกจะปลุกซะอีก แต่ก็นอนต่อจนนาฬิกาปลุก ถึงจะลุกไปปิดทั้ง 4 ด่านให้หมด

ตอนนอน นึกได้ว่าพลาดไปอย่าง ก็คือลืมปิดเสียง Notification ของมือถือ ทำให้มันดัง ตุ๊งดิ่ง ๆ อยู่เรื่อย แต่สักพักก็หลับนะ ไม่ได้รบกวนอะไรมาก คราวหน้าอย่าลืมปิด!

ตอนลงลิฟต์เจอนักวิ่งรุ่นพี่ท่านหนึ่งที่กำลังจะไปที่จุดเริ่มต้นเหมือนกัน โดยพี่เค้านัดรถรับจ้างไว้แต่พอลงไปถึงเห็นว่ายังไม่มา ก็เลยตัดสินใจมากับรถผมแทน ระหว่างทางเม้ามอยกันได้นิดหน่อยพอทราบว่าพี่เค้าเป็นสมาชิกชมรมวิ่งสวนหลวง ร.9 และวิ่งเร็วกว่าผม (คนที่ช้ากว่าผมนี่คงใช้นิ้วนับได้หมดแหละ)

ออกตัว
เมื่อไปถึงที่จุดเริ่ม หลังจากออกมาจากรถก็พบว่า คงไม่ต้องใช้ Running Jacket ที่ใส่มาด้วย เพราะอากาศไม่หนาวมาก ลำพัง Base Layer ที่ใส่ไว้ก็น่าจะพอรักษาอุณหภูมิในร่างกายได้

ระหว่างที่อบอุ่นร่างกายและยืดเหยียดได้ยินพิธีกรแจ้งว่ามีนักวิ่งมาราธอนทั้งหมดประมาณ 700 คน นักวิ่งฮาล์ฟมาราธอนประมาณ​ 900 คน และมินิมาราธอน 6,000 คน นี่ผมฟังผิดหรือเปล่านะ

บริเวณจุดปล่อยตัว จะมีป้ายบอกเพื่อเรียงลำดับการออกตัวของนักวิ่งเรียงจากนักวิ่งแนวหน้าจนมาถึงแนวหลัง แต่ก็ไม่ได้ใช้สถิติเป็นหลักฐานแต่อย่างใด ให้นักวิ่งเลือกกันเอง ซึ่งแน่นอน ผมปักหลักอยู่ที่ป้าย 6:00 ครับ ซึ่งเป็นป้ายสุดท้าย ถ้ามีท้ายกว่านี้ก็อาจจะเลือกนะ

วิ่งอย่างมีแผน
หลังจากฟังแผนการวิ่งมาราธอนของ Berry เมื่อวันที่วิ่ง Columbia Trail Masters ด้วยกัน (กว่าครึ่งทาง) เมื่อสองสัปดาห์ก่อน พบว่าน่าจะเอามาปรับใช้กับตัวเองในการวิ่งมาราธอนบ้าง ซึ่งแผนการวิ่งก็คือ ให้คุมอัตราการเต้นของหัวใจให้ไม่เกิน 155 ครั้งต่อนาที และให้เติมพลังงานโดยกินเจลทุก ๆ 600 kcal ที่เสียไป

หนึ่งในสามมาราธอน
ช่วง 14 กิโลเมตรแรก ผมวิ่งได้ตามแผนเป๊ะ ๆ เลยทีเดียว และได้เพซที่ไม่เร็วหรือช้าจนเกินไปด้วย ถือว่าน่าพอใจ วิ่งสบาย ๆ บางสถานีให้น้ำ ผมไม่ได้แวะ เพราะพกขวดน้ำติดหลังไปด้วย ก็ดื่มไปวิ่งไป ถ้าเห็นว่าน้ำพร่องไปจนไม่น่าจะถึงสถานีหน้าก็เติมซะ เรียกว่าวิ่งโดยไม่ได้หยุดเดินเลยก็ได้

เริ่มล้า
ผ่าน 1 ใน 3 มาราธอนมาได้แบบไม่เหนื่อย แต่ที่ กม. 17 ก็เริ่มล้านิด ๆ และรู้สึกเจ็บ ๆ ที่ข้อเท้าขวา ซึ่งยังไม่เป็นปัญหาใด ๆ กับการวิ่งก็วิ่งตามแผนเดิมต่อไป ผ่านครึ่งทาง (Checkpoint ที่ กม. 21) ก็ยังไปต่อได้สบาย ๆ

คอเคล็ด
เลี้ยวเข้าถนนวงแหวนด้านเหนือที่ กม. 24 (รอบแรกเลี้ยวเข้าถนนวงแหวนด้านใต้ ที่ กม. 7) รู้สึกเหมือนคอจะเคล็ดนิด ๆ ทางด้านซ้าย วิ่งไปนวดไปหลายกิโลเมตร กว่าจะหาย

อาการคอเหมือนจะเคล็ดนี่ผมเป็นในบางรอบของการวิ่ง ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร วิ่งผิดท่าแล้วกระแทกเหรอ

ล้ามาก
ที่ กม. 25 ปลาย ๆ อาการล้าของกล้ามเนื้อเริ่มแสดงตัวออกมาค่อนข้างชัดเจน ทำให้ต้องปรับเพซให้ช้าลง ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ดูนาฬิกา แต่รู้สึกว่าตัวเองวิ่งช้าลงอย่างมีนัยสำคัญ

พัง
ที่ กม. 29 ความล้าสะสมมากพอที่จะทำให้กล้ามเนื้อต้นขาด้านขวามีปัญหา จี๊ดจนไม่สามารถวิ่งต่อได้ จึงพักด้วยการเดิน และหลังจากนั้นก็พบว่าสามารถวิ่งต่อเนื่องได้ไม่เกิน 1 กิโลเมตรก็ต้องหยุดเพื่อเดิน ถึงตรงนี้แผนการวิ่งที่ตั้งใจไว้ก็เป็นอันต้องพับไป ที่เหลือเรียกว่า วิ่งตามสภาพ

ตะคริวแรก
เป็นความบ้า ๆ บอ ๆ ของผมที่ กม. 31 เนื่องจากเจอกองเชียร์เล่นดนตรี ร้องรำทำเพลงสนุกดี เลยพยายามวิ่งให้ลงจังหวะ แต่นั่นเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างแรง เพราะทำให้ผมต้องก้าวยาวขึ้น และ... ตะคริวกินทันที ทนวิ่งได้แป๊บเดียวก็ต้องรีบพักเดิน จากนั้นเจอห้องน้ำ คิดว่าไหน ๆ ก็เป็นตะคริวแล้วลองพักนานหน่อยด้วยการเข้าห้องน้ำก็แล้วกัน นั่นก็เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดเช่นกัน เพราะห้องน้ำคงตั้งอยู่บนพื้นที่ที่ไม่ค่อยจะสมดุลเท่าไหร่ การเข้าห้องน้ำค่อนข้างทุลักทุเล เสียเวลาไปเยอะทีเดียว

อ้างว้าง
อาจจะเป็นเพราะงานนี้มีนักวิ่งค่อนข้างเยอะ กว่าที่ผมจะรู้สึกว่าไม่ค่อยมีคนวิ่งด้วยก็ปาเข้าไป กม. 30 กว่า ๆ แล้ว เวลาที่รู้สึกอ้างว้างนี่มันค่อนข้างทำให้เราเขวนะ เหมือนสมาธิจะแกว่งไปบ้าง แต่พอคิดว่าเรามาไกลได้ขนาดนี้แล้ว ก็กลับออกมาจากภวังค์ได้

ปีศาจที่ กม. 35
ได้ยินคำร่ำลือมาตั้งแต่เริ่มวิ่งใหม่ ๆ กับเจ้าปีศาจที่ กม. 35 วันนี้ได้ลองมาสำรวจว่ามีจริงหรือไม่ด้วยตัวเอง กม. 35 ที่นี่ไม่มีปีศาจ หรือกำแพงใด ๆ แต่มีเนินสุดโหด ขณะนั้นผมซึ่งง่อยเปลี้ยเสียต้นขาอยู่ ทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินสลับวิ่ง (เดินขึ้นก่อน เพราะเดินเป็นหลัก) ทำให้ระยะทางตั้งแต่ กม. 35 จนถึง 37 ผ่านไปอย่างเชื่องช้า

พอเลี้ยวขวาเข้า ม.ขอนแก่น ก็เจอสวรรค์ นั่นคือทางลงเนิน (มีขึ้นเล็กน้อย พอทำใจ) ได้ทีหละ รีบวิ่งทำเวลา แต่ก็ได้มาไม่มาก เพราะกลัวจะหมดก่อนถึงเส้นชัย

เส้นชัยมีไว้พุ่งชน
เมื่อถึงกิโลเมตรที่ 41.195 (ก่อนเข้าเส้นชัย 1 กิโลเมตร) ป้ายบอกระยะทางเปลี่ยนจากระยะที่ผ่านมา เป็นระยะที่จะถึงเส้นชัย โดยมีป้ายบอกทุก 100 เมตร ความถี่ของป้าย มันทำให้หัวใจพองโต ที่เราวิ่งมาจะ 6 ชั่วโมง นี่มันจะสำเร็จแล้วนะ อุ๊ย! คิดแล้วก็แอบมีน้ำตาซึม อยากจะวิ่งรวดเดียวจนเข้าเส้นชัยไปเลย แต่จากการประเมินสภาพร่างกายแล้วคิดว่าเดินสลับวิ่งดีกว่า ออมแรงไว้วิ่งเข้าเส้นชัย ตามคำกล่าวที่ว่า "เราจะเดิน คลาน นั่ง นอน ที่ไหนก็ได้ แต่ถ้ามีคนเชียร์และช่างภาพ เราต้องวิ่งเท่านั้น"

พอนับถึง 400 เมตรสุดท้าย ผมตัดสินใจว่าจะวิ่ง (ช้า ๆ) จนถึงเส้นชัย ก่อนเลี้ยวขวาเข้าเลนเส้นชัย เจอช่างภาพ 1 ท่าน แชะ! เรียบร้อย หลังจากเลี้ยวเท่านั้นแหละ 100 เมตรสุดท้าย นรกมาเยือน นั่นคือตะคริวที่น่องทั้งสองข้าง แต่! จากคำกล่าวด้านบน มาทั้งช่างภาพที่รออยู่ที่เส้นชัย กองเชียร์ และเส้นชัยอยู่ข้างหน้า ยังไงก็ต้องวิ่ง กัดฟันวิ่งทั้ง ๆ ที่ตะคริวตอดไม่เลิกจนถึงเส้นชัยจนได้ พิชิต 42.195 กิโลเมตรได้แล้ว ที่หลังเส้นชัยเป็นป้ายบอกให้คืนชิพและรับเหรียญ ก็เลยถามเจ้าหน้าที่ เค้าบอกชิพไม่ต้องคืน ให้เป็นที่ระทึก และก็ได้เหรียญทอง และเสื้อ Finisher มาครองจนได้ เยส!

 สถิติวันนี้คือ 6 ชั่วโมง 5 นาที 16 วินาที (Garmin)

ขอบคุณภาพสวย ๆ จากพี่ตุ้ม http://www.shutterrunning.com/ ครับ


ฟินย้อนหลัง
หลังจากเข้าเส้นชัยก็เดินไปหาของกิน ปรากฏว่าหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ (ก็เข้ามาช้าซะขนาดนั้น จะหมดก็คงไม่แปลกอะไร) ยังดีได้สปอนเซอร์มา 1 ขวด กินหมดแล้วก็ไปยืดเหยียด (เนื่องจากช่วงท้าย ๆ เดินมาก เลยคิดว่าคงไม่ต้องคูลดาวน์อีก) เมื่อถามทางออกเรียบร้อยก็ขับรถกลับโรงแรม

ระหว่างทางกลับโรงแรมนั้น อยู่ ๆ ก็คิดได้ว่า เออนี่เราไม่ได้ร้องไห้ตอนเข้าเส้นชัยเนอะ เออจริงหวะ คิดได้เท่านั้นแหละ มาเลย น้ำตาซึม ๆ ตลอดทางกลับโรงแรม แบบว่าซึ้งอะ

รีวิวงานวิ่ง

  • การจัดการจราจรทำได้ดีมาก มีเจ้าหน้าที่จัดการทุกแยก มีการปิดถนนเป็นฝั่ง ความปลอดภัยสูงมาก (ยกเว้นช่วงท้าย ๆ ที่รถเริ่มเยอะ อาจจะป้องกันได้ไม่ครบ แต่ก็ไม่มีอันตรายอะไร)
  • น้ำดื่มและเครื่องดื่มเกลือแร่มีพอเพียงและค่อนข้างตรงตามระยะทาง
  • กองเชียร์เยอะ มีตลอดทาง ตามหน้าโรงเรียนก็จะมีนักเรียนมาเชียร์ หน้าชุมชนบางชุมชนก็มีชาวบ้านออกมาเชียร์ สนุกและได้พลังใจดีครับ
  • ป้ายระยะทางทำได้ค่อนข้างเป๊ะ และป้ายบอกทางทำได้ดี ไม่สับสน
  • ทางวิ่งดีมาก เนื่องจากปิดการจราจรได้ดี ทำให้ไม่ต้องวิ่งบนทราย (มีบ้าง แต่ไม่มาก)

ข้อคิดจากมาราธอนครั้งแรก

  • ปีศาจที่ กม. 35 เป็นนิทานหลอกเด็ก... ที่ไม่มีวินัยในการซ้อม ถ้าซ้อมดี ควบคุมการวิ่งอย่างตั้งใจ ไม่เจอหรอก
  • วิ่งมาราธอนต้องใจเย็น เห็นระยะเหลือไม่มาก แต่ก็ใช่ว่าเราจะใส่หมดได้
  • อย่าประมาทระยะมาราธอน ไกลจริงอะไรจริง ไม่ใช่ระยะที่นึกจะลงก็ลงได้สบาย ๆ
  • อย่าทะลึ่งทำอะไรเพี้ยน ๆ ที่จะทำให้กล้ามเนื้อไม่สบาย มีหน้าที่วิ่งก็วิ่งไป
  • การยิ้มและกล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่และกองเชียร์ ทำให้เราได้รอยยิ้มและกำลังใจจากท่านเหล่านั้นคืนมาด้วย
  • ต้องกลับไปเสริมสร้างกล้ามเนื้อเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถคงสภาพในการวิ่งระยะไกลได้