Sunday, January 26, 2014

Running Event 2014-01-26 : Khon Kaen International Marathon

Race #31 : Marathon #1 : Khon Kaen International Marathon

Race Kit Collection
เป็นครั้งแรกที่เดินเท่ไปเข้าช่อง Marathon หัวใจพองโต รู้สึกเสื้อมันคับ ๆ (เอิ่ม... คืออ้วนใช่มะ) ของที่ได้รับคือ เสื้อวิ่ง Bib (มี RFID ติดอยู่ด้วย ต้องแกะมาติดกับรองเท้าอีกที) น้ำมันมวย และถุงผ้าใส่ของทั้งสาม ขั้นตอนการรับของและการตรวจชิปไม่ยุ่งยากอะไร แป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว งานนี้ไม่ใหญ่มากแต่สะดุดกับบูทของ Mizuno เพราะป้ายลดราคา 70% เดินเข้าไปเล่น ๆ แต่ได้ของจริง ๆ นั่นคือ Running Jacket ราคา 600 บาท ตอนจะจ่ายตังค์เหมือนมีการทดสอบจิตใจเล็กน้อย คือเครื่องพิมพ์ใบเสร็จเสีย มีเวลาให้ตัดสินใจอีกครู่ใหญ่ แต่ 600 นะ ลดจาก 1,450 ทำให้ยังยึดมั่นการตัดสินใจตามเดิม

ตื่นก่อนปลุก
หลังจากรีบกินอาหารเตรียมพลังงานเรียบร้อย ก็รีบกลับโรงแรมเพื่อพักผ่อนและเตรียมตัวนอน ตั้งใจว่าจะนอนสองทุ่ม ตื่นตีสอง โดยตั้งนาฬิกาไว้ 4 ด่าน (2:00 2:15 2:30 2:45) ปรากฏว่าตื่นตั้งแต่ก่อนด่านแรกจะปลุกซะอีก แต่ก็นอนต่อจนนาฬิกาปลุก ถึงจะลุกไปปิดทั้ง 4 ด่านให้หมด

ตอนนอน นึกได้ว่าพลาดไปอย่าง ก็คือลืมปิดเสียง Notification ของมือถือ ทำให้มันดัง ตุ๊งดิ่ง ๆ อยู่เรื่อย แต่สักพักก็หลับนะ ไม่ได้รบกวนอะไรมาก คราวหน้าอย่าลืมปิด!

ตอนลงลิฟต์เจอนักวิ่งรุ่นพี่ท่านหนึ่งที่กำลังจะไปที่จุดเริ่มต้นเหมือนกัน โดยพี่เค้านัดรถรับจ้างไว้แต่พอลงไปถึงเห็นว่ายังไม่มา ก็เลยตัดสินใจมากับรถผมแทน ระหว่างทางเม้ามอยกันได้นิดหน่อยพอทราบว่าพี่เค้าเป็นสมาชิกชมรมวิ่งสวนหลวง ร.9 และวิ่งเร็วกว่าผม (คนที่ช้ากว่าผมนี่คงใช้นิ้วนับได้หมดแหละ)

ออกตัว
เมื่อไปถึงที่จุดเริ่ม หลังจากออกมาจากรถก็พบว่า คงไม่ต้องใช้ Running Jacket ที่ใส่มาด้วย เพราะอากาศไม่หนาวมาก ลำพัง Base Layer ที่ใส่ไว้ก็น่าจะพอรักษาอุณหภูมิในร่างกายได้

ระหว่างที่อบอุ่นร่างกายและยืดเหยียดได้ยินพิธีกรแจ้งว่ามีนักวิ่งมาราธอนทั้งหมดประมาณ 700 คน นักวิ่งฮาล์ฟมาราธอนประมาณ​ 900 คน และมินิมาราธอน 6,000 คน นี่ผมฟังผิดหรือเปล่านะ

บริเวณจุดปล่อยตัว จะมีป้ายบอกเพื่อเรียงลำดับการออกตัวของนักวิ่งเรียงจากนักวิ่งแนวหน้าจนมาถึงแนวหลัง แต่ก็ไม่ได้ใช้สถิติเป็นหลักฐานแต่อย่างใด ให้นักวิ่งเลือกกันเอง ซึ่งแน่นอน ผมปักหลักอยู่ที่ป้าย 6:00 ครับ ซึ่งเป็นป้ายสุดท้าย ถ้ามีท้ายกว่านี้ก็อาจจะเลือกนะ

วิ่งอย่างมีแผน
หลังจากฟังแผนการวิ่งมาราธอนของ Berry เมื่อวันที่วิ่ง Columbia Trail Masters ด้วยกัน (กว่าครึ่งทาง) เมื่อสองสัปดาห์ก่อน พบว่าน่าจะเอามาปรับใช้กับตัวเองในการวิ่งมาราธอนบ้าง ซึ่งแผนการวิ่งก็คือ ให้คุมอัตราการเต้นของหัวใจให้ไม่เกิน 155 ครั้งต่อนาที และให้เติมพลังงานโดยกินเจลทุก ๆ 600 kcal ที่เสียไป

หนึ่งในสามมาราธอน
ช่วง 14 กิโลเมตรแรก ผมวิ่งได้ตามแผนเป๊ะ ๆ เลยทีเดียว และได้เพซที่ไม่เร็วหรือช้าจนเกินไปด้วย ถือว่าน่าพอใจ วิ่งสบาย ๆ บางสถานีให้น้ำ ผมไม่ได้แวะ เพราะพกขวดน้ำติดหลังไปด้วย ก็ดื่มไปวิ่งไป ถ้าเห็นว่าน้ำพร่องไปจนไม่น่าจะถึงสถานีหน้าก็เติมซะ เรียกว่าวิ่งโดยไม่ได้หยุดเดินเลยก็ได้

เริ่มล้า
ผ่าน 1 ใน 3 มาราธอนมาได้แบบไม่เหนื่อย แต่ที่ กม. 17 ก็เริ่มล้านิด ๆ และรู้สึกเจ็บ ๆ ที่ข้อเท้าขวา ซึ่งยังไม่เป็นปัญหาใด ๆ กับการวิ่งก็วิ่งตามแผนเดิมต่อไป ผ่านครึ่งทาง (Checkpoint ที่ กม. 21) ก็ยังไปต่อได้สบาย ๆ

คอเคล็ด
เลี้ยวเข้าถนนวงแหวนด้านเหนือที่ กม. 24 (รอบแรกเลี้ยวเข้าถนนวงแหวนด้านใต้ ที่ กม. 7) รู้สึกเหมือนคอจะเคล็ดนิด ๆ ทางด้านซ้าย วิ่งไปนวดไปหลายกิโลเมตร กว่าจะหาย

อาการคอเหมือนจะเคล็ดนี่ผมเป็นในบางรอบของการวิ่ง ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร วิ่งผิดท่าแล้วกระแทกเหรอ

ล้ามาก
ที่ กม. 25 ปลาย ๆ อาการล้าของกล้ามเนื้อเริ่มแสดงตัวออกมาค่อนข้างชัดเจน ทำให้ต้องปรับเพซให้ช้าลง ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ดูนาฬิกา แต่รู้สึกว่าตัวเองวิ่งช้าลงอย่างมีนัยสำคัญ

พัง
ที่ กม. 29 ความล้าสะสมมากพอที่จะทำให้กล้ามเนื้อต้นขาด้านขวามีปัญหา จี๊ดจนไม่สามารถวิ่งต่อได้ จึงพักด้วยการเดิน และหลังจากนั้นก็พบว่าสามารถวิ่งต่อเนื่องได้ไม่เกิน 1 กิโลเมตรก็ต้องหยุดเพื่อเดิน ถึงตรงนี้แผนการวิ่งที่ตั้งใจไว้ก็เป็นอันต้องพับไป ที่เหลือเรียกว่า วิ่งตามสภาพ

ตะคริวแรก
เป็นความบ้า ๆ บอ ๆ ของผมที่ กม. 31 เนื่องจากเจอกองเชียร์เล่นดนตรี ร้องรำทำเพลงสนุกดี เลยพยายามวิ่งให้ลงจังหวะ แต่นั่นเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างแรง เพราะทำให้ผมต้องก้าวยาวขึ้น และ... ตะคริวกินทันที ทนวิ่งได้แป๊บเดียวก็ต้องรีบพักเดิน จากนั้นเจอห้องน้ำ คิดว่าไหน ๆ ก็เป็นตะคริวแล้วลองพักนานหน่อยด้วยการเข้าห้องน้ำก็แล้วกัน นั่นก็เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดเช่นกัน เพราะห้องน้ำคงตั้งอยู่บนพื้นที่ที่ไม่ค่อยจะสมดุลเท่าไหร่ การเข้าห้องน้ำค่อนข้างทุลักทุเล เสียเวลาไปเยอะทีเดียว

อ้างว้าง
อาจจะเป็นเพราะงานนี้มีนักวิ่งค่อนข้างเยอะ กว่าที่ผมจะรู้สึกว่าไม่ค่อยมีคนวิ่งด้วยก็ปาเข้าไป กม. 30 กว่า ๆ แล้ว เวลาที่รู้สึกอ้างว้างนี่มันค่อนข้างทำให้เราเขวนะ เหมือนสมาธิจะแกว่งไปบ้าง แต่พอคิดว่าเรามาไกลได้ขนาดนี้แล้ว ก็กลับออกมาจากภวังค์ได้

ปีศาจที่ กม. 35
ได้ยินคำร่ำลือมาตั้งแต่เริ่มวิ่งใหม่ ๆ กับเจ้าปีศาจที่ กม. 35 วันนี้ได้ลองมาสำรวจว่ามีจริงหรือไม่ด้วยตัวเอง กม. 35 ที่นี่ไม่มีปีศาจ หรือกำแพงใด ๆ แต่มีเนินสุดโหด ขณะนั้นผมซึ่งง่อยเปลี้ยเสียต้นขาอยู่ ทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินสลับวิ่ง (เดินขึ้นก่อน เพราะเดินเป็นหลัก) ทำให้ระยะทางตั้งแต่ กม. 35 จนถึง 37 ผ่านไปอย่างเชื่องช้า

พอเลี้ยวขวาเข้า ม.ขอนแก่น ก็เจอสวรรค์ นั่นคือทางลงเนิน (มีขึ้นเล็กน้อย พอทำใจ) ได้ทีหละ รีบวิ่งทำเวลา แต่ก็ได้มาไม่มาก เพราะกลัวจะหมดก่อนถึงเส้นชัย

เส้นชัยมีไว้พุ่งชน
เมื่อถึงกิโลเมตรที่ 41.195 (ก่อนเข้าเส้นชัย 1 กิโลเมตร) ป้ายบอกระยะทางเปลี่ยนจากระยะที่ผ่านมา เป็นระยะที่จะถึงเส้นชัย โดยมีป้ายบอกทุก 100 เมตร ความถี่ของป้าย มันทำให้หัวใจพองโต ที่เราวิ่งมาจะ 6 ชั่วโมง นี่มันจะสำเร็จแล้วนะ อุ๊ย! คิดแล้วก็แอบมีน้ำตาซึม อยากจะวิ่งรวดเดียวจนเข้าเส้นชัยไปเลย แต่จากการประเมินสภาพร่างกายแล้วคิดว่าเดินสลับวิ่งดีกว่า ออมแรงไว้วิ่งเข้าเส้นชัย ตามคำกล่าวที่ว่า "เราจะเดิน คลาน นั่ง นอน ที่ไหนก็ได้ แต่ถ้ามีคนเชียร์และช่างภาพ เราต้องวิ่งเท่านั้น"

พอนับถึง 400 เมตรสุดท้าย ผมตัดสินใจว่าจะวิ่ง (ช้า ๆ) จนถึงเส้นชัย ก่อนเลี้ยวขวาเข้าเลนเส้นชัย เจอช่างภาพ 1 ท่าน แชะ! เรียบร้อย หลังจากเลี้ยวเท่านั้นแหละ 100 เมตรสุดท้าย นรกมาเยือน นั่นคือตะคริวที่น่องทั้งสองข้าง แต่! จากคำกล่าวด้านบน มาทั้งช่างภาพที่รออยู่ที่เส้นชัย กองเชียร์ และเส้นชัยอยู่ข้างหน้า ยังไงก็ต้องวิ่ง กัดฟันวิ่งทั้ง ๆ ที่ตะคริวตอดไม่เลิกจนถึงเส้นชัยจนได้ พิชิต 42.195 กิโลเมตรได้แล้ว ที่หลังเส้นชัยเป็นป้ายบอกให้คืนชิพและรับเหรียญ ก็เลยถามเจ้าหน้าที่ เค้าบอกชิพไม่ต้องคืน ให้เป็นที่ระทึก และก็ได้เหรียญทอง และเสื้อ Finisher มาครองจนได้ เยส!

 สถิติวันนี้คือ 6 ชั่วโมง 5 นาที 16 วินาที (Garmin)

ขอบคุณภาพสวย ๆ จากพี่ตุ้ม http://www.shutterrunning.com/ ครับ


ฟินย้อนหลัง
หลังจากเข้าเส้นชัยก็เดินไปหาของกิน ปรากฏว่าหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ (ก็เข้ามาช้าซะขนาดนั้น จะหมดก็คงไม่แปลกอะไร) ยังดีได้สปอนเซอร์มา 1 ขวด กินหมดแล้วก็ไปยืดเหยียด (เนื่องจากช่วงท้าย ๆ เดินมาก เลยคิดว่าคงไม่ต้องคูลดาวน์อีก) เมื่อถามทางออกเรียบร้อยก็ขับรถกลับโรงแรม

ระหว่างทางกลับโรงแรมนั้น อยู่ ๆ ก็คิดได้ว่า เออนี่เราไม่ได้ร้องไห้ตอนเข้าเส้นชัยเนอะ เออจริงหวะ คิดได้เท่านั้นแหละ มาเลย น้ำตาซึม ๆ ตลอดทางกลับโรงแรม แบบว่าซึ้งอะ

รีวิวงานวิ่ง

  • การจัดการจราจรทำได้ดีมาก มีเจ้าหน้าที่จัดการทุกแยก มีการปิดถนนเป็นฝั่ง ความปลอดภัยสูงมาก (ยกเว้นช่วงท้าย ๆ ที่รถเริ่มเยอะ อาจจะป้องกันได้ไม่ครบ แต่ก็ไม่มีอันตรายอะไร)
  • น้ำดื่มและเครื่องดื่มเกลือแร่มีพอเพียงและค่อนข้างตรงตามระยะทาง
  • กองเชียร์เยอะ มีตลอดทาง ตามหน้าโรงเรียนก็จะมีนักเรียนมาเชียร์ หน้าชุมชนบางชุมชนก็มีชาวบ้านออกมาเชียร์ สนุกและได้พลังใจดีครับ
  • ป้ายระยะทางทำได้ค่อนข้างเป๊ะ และป้ายบอกทางทำได้ดี ไม่สับสน
  • ทางวิ่งดีมาก เนื่องจากปิดการจราจรได้ดี ทำให้ไม่ต้องวิ่งบนทราย (มีบ้าง แต่ไม่มาก)

ข้อคิดจากมาราธอนครั้งแรก

  • ปีศาจที่ กม. 35 เป็นนิทานหลอกเด็ก... ที่ไม่มีวินัยในการซ้อม ถ้าซ้อมดี ควบคุมการวิ่งอย่างตั้งใจ ไม่เจอหรอก
  • วิ่งมาราธอนต้องใจเย็น เห็นระยะเหลือไม่มาก แต่ก็ใช่ว่าเราจะใส่หมดได้
  • อย่าประมาทระยะมาราธอน ไกลจริงอะไรจริง ไม่ใช่ระยะที่นึกจะลงก็ลงได้สบาย ๆ
  • อย่าทะลึ่งทำอะไรเพี้ยน ๆ ที่จะทำให้กล้ามเนื้อไม่สบาย มีหน้าที่วิ่งก็วิ่งไป
  • การยิ้มและกล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่และกองเชียร์ ทำให้เราได้รอยยิ้มและกำลังใจจากท่านเหล่านั้นคืนมาด้วย
  • ต้องกลับไปเสริมสร้างกล้ามเนื้อเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถคงสภาพในการวิ่งระยะไกลได้