Race Detail
งานนี้เป็นงานวิ่งในสวนนวมินทร์ภิรมย์ความยาว 2.1 กิโลเมตร โดยจำกัดเวลาวิ่งที่ 10 ชั่วโมง วิ่งทำรอบให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยถ้าสามารถทำได้ 30 รอบ หรือ 63 กิโลเมตร จะได้รับถ้วย
ที่จริงอยากจะไปลองซ้อมวิ่งที่สวนนวมินทร์ภิรมย์ดูบ้าง จะได้กะระยะการวิ่งและเดินเพื่อพักได้ และดูอุปสรรคในการวิ่งเพื่อวางแผนเพิ่มเติม แต่สุดท้ายกว่าจะได้มาที่สวนก็วันนี้แหละ วันรับเสื้อและเบอร์ ซึ่งตอนที่ไปถึงก็ไม่ได้ดูอะไรมากมาย ถามแค่เรื่องการฝากของและรับของระหว่างการแข่งขัน ทางทีมงานก็แจ้งว่าฝากไว้แล้วจะมารับและฝากเมื่อไหร่ก็ได้ในระหว่างการแข่งขัน เผื่อต้องการเปลี่ยนเสื้อผ้า หรือเอาของอะไรจากที่ฝากไว้ก็สามารถทำได้
สิ่งที่อยู่ใน Race Kit ก็คือ เสื้อ (สวยนะผมชอบ), Bib และ chip แบบติดกับรองเท้า (และต้องคืน), น้ำดื่ม ธ.ออมสิน, Salonpas
Race Day
มาจอดรถที่การเคหะประมาณตีห้ากว่า ๆ เนื่องจากทางผู้จัดแนะนำว่าควรมาจอดที่นี่ แต่ก็เห็นรถจอดอยู่ริมสวนยาวเป็นพรืดเลย ไม่รู้มันทำให้เกะกะคนแถวนั้นหรือเปล่านะ แต่ผมก็ทำตามคำแนะนำแหละ เอาสบายใจตัวเอง เดินไกลอยู่ แต่ก็ไม่ได้น่ากลัวอะไรสำหรับผู้ชายหน้าเหี้ยมแบบผม หุหุ
Race Plan
ตัดสินใจประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนแข่งว่าจะเดิน 500 เมตร สลับกับวิ่ง 500 เมตร ไปเรื่อย ๆ ให้ได้ 30 รอบ ในเวลา 10 ชั่วโมง นั่นคือโดยเฉลี่ยต้องทำเวลาต่อรอบอยู่ที่ 20 นาที แต่คิดว่า 18 นาทีน่าจะสามารถทำได้ ก็ต้องลองดู
Longest-ever Day Start
ก่อนเริ่มเจอกับนัท เพื่อนที่วิศวะ ก็ดีใจนะ รู้สึกดีที่มีเพื่อนมาวิ่งด้วย แม้ว่าจะไม่ได้วิ่งด้วยกันตลอดทางแต่ทางมันก็วน ๆ กันแค่นี้แหละ คงจะได้เจอกันเรื่อย ๆ
พอเริ่มการแข่งขัน ซึ่งเริ่มพร้อมกันทั้งประเภทเดี่ยวและทีม ผมก็ค่อย ๆ ไปช้า ๆ ตามสไตล์หอยทากนักวิ่ง รอบแรกเป็นการสำรวจป้าย ซุ้มน้ำ และทางวิ่ง พบว่ามีสะพานอยู่ที่ระยะ 400 - 600 เมตร และ 1400 - 1600 เมตร ซึ่งผมกะว่าจะไม่วิ่งข้ามสะพานอยู่แล้ว ประกอบกับมีซุ้มให้น้ำอยู่ที่ระยะ 400 เมตร และ 1600 เมตรพอดี จึงวางแผนดังนี้
ที่ Check Point จะมีป้าย LED อยู่ 2 ป้าย โดยจะแสดงเวลา และอุณหภูมิของอากาศในขณะนั้น ได้ยินพิธีกรประกาศว่าอุณหภูมิสูงสุดของวันนี้คือ 43 องศาเซลเซียส ในช่วงเวลาใกล้ ๆ เที่ยง ซึ่งมันร้อนจริง ๆ แดดเผาแรงสะใจมาก ผมต้องใช้ Naroo mask ปิดคอไว้ตลอด แทบจะพันหน้าเป็นมัมมี่เลยทีเดียวแหละ
แต่ความร้อนเหล่านี้ก็บรรเทาได้ด้วยน้ำเย็น ๆ จากสปริงเกอร์ของทีมผู้จัด และน้ำใส่น้ำแข็งจากกองเชียร์นี่แหละ หลาย ๆ ซุ้มมีฟองน้ำชุบน้ำเย็นบริการ โดยมี 2 ซุ้มที่ผมเข้าไปรับน้ำเย็นบ่อย ๆ คือซุ้มของเครซี่รันนิ่ง และพี่ผู้หญิงท่านนึงแถว ๆ ระยะ 1400 เมตร ผมเห็นแกเล่นสนุกเหมือนเล่นสงกรานต์ ก็เลยสนุกไปกับแกด้วย สนุกดีครับ ขอบคุณทุกท่านที่นำความเย็นมาช่วยดับร้อนให้นักกีฬาครับ
Finally, it's rain
หลังจากแดดเผามาตั้งแต่ก่อนเที่ยง ก็ยังไม่เห็นสัญญาณว่าจะมีฝนตก จนกระทั่งชั่วโมงท้าย ๆ ฝนเริ่มตั้งเค้า และ... ตกครับ ก็ดีใจนะที่ฝนตก แต่มาตกอะไรตอนเน้ ไม่ตกไปตั้งแต่ 43 องศาหละแม้... สงสัยเกรงใจผู้จัด เดี๋ยวงานนี้จะไม่โหดสะใจ หุหุ ซึ่งการตกปรอย ๆ แบบนี้ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เพราะมันทำให้ความร้อนจากพื้นระอุขึ้นมาอีก แต่เนื่องจากเป็นรอบท้าย ๆ ที่ผมปลงแล้ว เดินอย่างเดียว ก็เลยไม่มีผลเท่าไหร่
บทสรุป
ผมชอบงานวิ่งนี้นะ โหด แต่สบายใจที่จะได้วิ่ง และทำให้ผมได้ทดสอบสมรรถภาพตัวเองว่าสามารถทำระยะได้ไกลแค่ไหนภายในเวลา 10 ชั่วโมง ปีหน้าผมจะสมัครอีกแน่ครับ และจะพยายามทำระยะให้ได้ถ้วยให้จงได้ สู้!
สิ่งที่อยู่ใน Race Kit ก็คือ เสื้อ (สวยนะผมชอบ), Bib และ chip แบบติดกับรองเท้า (และต้องคืน), น้ำดื่ม ธ.ออมสิน, Salonpas
Race Day
มาจอดรถที่การเคหะประมาณตีห้ากว่า ๆ เนื่องจากทางผู้จัดแนะนำว่าควรมาจอดที่นี่ แต่ก็เห็นรถจอดอยู่ริมสวนยาวเป็นพรืดเลย ไม่รู้มันทำให้เกะกะคนแถวนั้นหรือเปล่านะ แต่ผมก็ทำตามคำแนะนำแหละ เอาสบายใจตัวเอง เดินไกลอยู่ แต่ก็ไม่ได้น่ากลัวอะไรสำหรับผู้ชายหน้าเหี้ยมแบบผม หุหุ
Race Plan
ตัดสินใจประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนแข่งว่าจะเดิน 500 เมตร สลับกับวิ่ง 500 เมตร ไปเรื่อย ๆ ให้ได้ 30 รอบ ในเวลา 10 ชั่วโมง นั่นคือโดยเฉลี่ยต้องทำเวลาต่อรอบอยู่ที่ 20 นาที แต่คิดว่า 18 นาทีน่าจะสามารถทำได้ ก็ต้องลองดู
Longest-ever Day Start
ก่อนเริ่มเจอกับนัท เพื่อนที่วิศวะ ก็ดีใจนะ รู้สึกดีที่มีเพื่อนมาวิ่งด้วย แม้ว่าจะไม่ได้วิ่งด้วยกันตลอดทางแต่ทางมันก็วน ๆ กันแค่นี้แหละ คงจะได้เจอกันเรื่อย ๆ
พอเริ่มการแข่งขัน ซึ่งเริ่มพร้อมกันทั้งประเภทเดี่ยวและทีม ผมก็ค่อย ๆ ไปช้า ๆ ตามสไตล์หอยทากนักวิ่ง รอบแรกเป็นการสำรวจป้าย ซุ้มน้ำ และทางวิ่ง พบว่ามีสะพานอยู่ที่ระยะ 400 - 600 เมตร และ 1400 - 1600 เมตร ซึ่งผมกะว่าจะไม่วิ่งข้ามสะพานอยู่แล้ว ประกอบกับมีซุ้มให้น้ำอยู่ที่ระยะ 400 เมตร และ 1600 เมตรพอดี จึงวางแผนดังนี้
- วิ่งไปจนถึงระยะ 400 เมตร หยุดเพื่อรับน้ำ
- เดินข้ามสะพาน และเดินต่อจนถึงระยะ 800 เมตรจึงวิ่ง
- วิ่งจนถึงระยะ 1400 เมตร ให้เดินข้ามสะพานและไปรับน้ำที่ระยะ 1600 เมตร
- ถึงระยะ 1800 เมตรให้วิ่ง แล้ววนกลับไปข้อ 1
นั่นก็คือใน 1 กิโลเมตรผมจะเดิน 400 เมตร และวิ่ง 600 เมตร คิดว่าไม่น่าจะทำให้แผน 500-500 ของผมเสียหายอะไร แต่ผมว่าผมคิดผิดนะ แผนนี้เดินมากเกินไปหรือเปล่า?
Half Marathon
ดำเนินแผนการวิ่งได้เป็นอย่างดีใน 10 รอบแรก วิ่งและเดินสบาย ๆ ทำเวลาได้ดีทีเดียว จบ 10 รอบในเวลา 3 ชั่วโมง นั่นคือได้กำไรอยู่ 1 รอบเต็ม ๆ (ตามแผนหยาบ 20 นาทีต่อรอบ เวลา 3 ชั่วโมงควรได้แค่ 9 รอบ) ไม่ค่อยเหนื่อย แดดยังไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่ เพราะเป็นช่วงเวลา 6.00 - 9.00 เท่านั้นเอง ถือว่าผ่านระยะ Half Marathon ไปได้ด้วยดี ในใจก็คิดว่า น่าจะผ่าน 30 รอบได้สบาย ๆ แล้ว แต่...
Full Marathon
รอบที่ 11 - 15 (ระยะ 21 - 31.5 กิโลเมตร) ช้าลงนิดหน่อย รู้สึกว่าเหนื่อยขึ้น และกล้ามเนื้อมียุบบ้าง ใช้เวลาไป 1 ชั่วโมง 39 นาที (99 นาที) ก็เรียกว่าเท่าทุน เพราะยังอยู่ในเกณฑ์ 20 นาทีต่อรอบ แต่ไม่ได้กำไรเพิ่มขึ้น ซึ่งนั่นเป็นสัญญาณอันตรายในระยะต้น
รอบที่ 16 - 20 (ระยะ 31.5 - 42 กิโลเมตร) เป็นช่วงที่เริ่มเหนื่อยมาก ต้องสลับไปเดินนานขึ้น และมีอาการบาดเจ็บที่เข่า โดยใช้เวลาไป 1 ชั่วโมง 55 นาที (115 นาที) นี่เป็นจุดที่ทำให้ผมรู้ตัวว่า พลาดแล้วหละ เพราะเวลาที่เหลืออยู่อีก 3 ชั่วโมงครึ่ง ด้วยความเหนื่อยระดับนี้ และอาการบาดเจ็บที่พับในเข่าขวา คงไม่อาจจะปั๊มอีก 10 รอบได้ทัน จิตตกและเดินปลงอยู่พักใหญ่ ๆ
Ultra "Walk" Marathon
หลังจากรอบที่ 20 (ระยะ 42 กิโลเมตรเป็นต้นไป) "ทุกอย่างก้าวคือความเจ็บปวด" วิ่งไม่ได้แล้ว เดินอย่างเดียว พอเดินไปพักใหญ่ ๆ ลองวิ่ง ก็วิ่งได้พักเดียว ปวดพับในเข่าขวามาก จนคิดว่า "เลิกดีมั้ยวะ อาการแย่ขนาดนี้" มีรอบนึงไปถึง Check Point แล้วน้องกิ๊ปเดินมาคุยด้วย บอกน้องว่า พี่ไม่ไหวแล้ว น้องก็ให้กำลังใจมาว่า ไปพักกินอะไรก่อนนะ แล้วค่อยไปต่อ ทำให้ผมคิดได้ว่า "ไหน ๆ ก็มาแล้ว เดินให้ครบเวลาก็แล้วกัน"
ช่วงรอบที่ 21 - 25 มีหยุดนั่งเป็นพัก ๆ แต่พอถึง Check Point รอบที่ 25 เห็นเวลา 9 ชั่วโมงนิด ๆ คิดว่าถ้าเดินไม่พัก น่าจะได้ซัก 2 รอบ ทำให้รอบที่ 26 - 27 เดินตลอด ไม่หยุดเลย เข้าเส้นชัยเวลา 9 ชั่วโมง 52 นาที แล้วก็หยุดเพื่อคืน Chip สรุปว่าทำไปได้ทั้งหมด 27 รอบ คิดเป็นระยะทาง 56.7 กิโลเมตร
The Crowd
สิ่งที่ไม่อาจละเลยได้ในงานนี้ก็คือทีมงานและกองเชียร์ทุกท่าน ที่อดทนทำหน้าที่และเชียร์ตลอด 10 ชั่วโมง ทั้งร้อน ทั้งเหนื่อยไม่แพ้นักกีฬาเลย นับถือน้ำใจทุกท่านครับ อ้อ ลุงสวง กองเชียร์อัลตร้า ผมเห็นท่านยืนตบมือเขียร์ตลอด 10 ชั่วโมง ไม่แพ้นักกีฬาเลย พอวิ่ง (และเดินผ่าน) ท่านจะตบมือและพูดให้กำลังใจทุกคน ทุกครั้ง ขอบคุณครับลุง ปีหน้าเจอกันใหม่แน่นอน
เรื่องอาหารและน้ำสำหรับงานนี้เรียกว่าโคตรเหลือเฟือครับ เท่าที่เห็นมีซุ้มน้ำของทีมผู้จัดงาน 2 ซุ้มที่ระยะ 400 เมตร และ 1600 เมตร และมีของกิน 1 ซุ้ม (ที่ระยะ 1400 เมตร) ซึ่งไม่เคยพร่อง น้ำมีตลอด ของกินจัดเต็ม ผมแวะกินน้ำแทบทุกครั้ง โดยใช้แก้วใบไม้ บางรอบจะกินน้ำผสมเกลือแร่ด้วย ส่วนอาหารผมชอบกินมันต้มรอบเว้นรอบ เพราะมันไม่เปื้อนมือ และกินง่ายดี มีอยู่รอบนึง น่าจะประมาณเที่ยงวัน กลัวหิวเลยกินไก่ทอดและไอติมไปด้วย
นอกจากน้ำและอาหารลองผู้จัดงานเอง ก็ยังมีจากซุ้มต่าง ๆ ที่แต่ละชมรมและกลุ่มเตรียมมาปันให้นักวิ่งทุกคน โดยไม่เลือกว่าเป็นคนที่ตัวเองรู้จักหรือไม่ ผมได้ข้าวเหนียวจากทีมวิ่งตีนเปล่า ได้น้ำจากเครซี่รันนิ่ง ทอฟฟี่เค้กจากเสี่ยดำ ได้น้ำตาลสดจาก... เอิ่ม... ขอโทษครับจำไม่ได้จริง ๆ ว่าซุ้มไหน แต่เป็นซุ้มที่อยู่ใกล้ ๆ Check Point
"ขอขอบคุณกองเชียร์และทีมงานทุกท่านจากใจครับ"
The Heat
ที่ Check Point จะมีป้าย LED อยู่ 2 ป้าย โดยจะแสดงเวลา และอุณหภูมิของอากาศในขณะนั้น ได้ยินพิธีกรประกาศว่าอุณหภูมิสูงสุดของวันนี้คือ 43 องศาเซลเซียส ในช่วงเวลาใกล้ ๆ เที่ยง ซึ่งมันร้อนจริง ๆ แดดเผาแรงสะใจมาก ผมต้องใช้ Naroo mask ปิดคอไว้ตลอด แทบจะพันหน้าเป็นมัมมี่เลยทีเดียวแหละ
แต่ความร้อนเหล่านี้ก็บรรเทาได้ด้วยน้ำเย็น ๆ จากสปริงเกอร์ของทีมผู้จัด และน้ำใส่น้ำแข็งจากกองเชียร์นี่แหละ หลาย ๆ ซุ้มมีฟองน้ำชุบน้ำเย็นบริการ โดยมี 2 ซุ้มที่ผมเข้าไปรับน้ำเย็นบ่อย ๆ คือซุ้มของเครซี่รันนิ่ง และพี่ผู้หญิงท่านนึงแถว ๆ ระยะ 1400 เมตร ผมเห็นแกเล่นสนุกเหมือนเล่นสงกรานต์ ก็เลยสนุกไปกับแกด้วย สนุกดีครับ ขอบคุณทุกท่านที่นำความเย็นมาช่วยดับร้อนให้นักกีฬาครับ
Finally, it's rain
หลังจากแดดเผามาตั้งแต่ก่อนเที่ยง ก็ยังไม่เห็นสัญญาณว่าจะมีฝนตก จนกระทั่งชั่วโมงท้าย ๆ ฝนเริ่มตั้งเค้า และ... ตกครับ ก็ดีใจนะที่ฝนตก แต่มาตกอะไรตอนเน้ ไม่ตกไปตั้งแต่ 43 องศาหละแม้... สงสัยเกรงใจผู้จัด เดี๋ยวงานนี้จะไม่โหดสะใจ หุหุ ซึ่งการตกปรอย ๆ แบบนี้ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เพราะมันทำให้ความร้อนจากพื้นระอุขึ้นมาอีก แต่เนื่องจากเป็นรอบท้าย ๆ ที่ผมปลงแล้ว เดินอย่างเดียว ก็เลยไม่มีผลเท่าไหร่
บทสรุป
ผมชอบงานวิ่งนี้นะ โหด แต่สบายใจที่จะได้วิ่ง และทำให้ผมได้ทดสอบสมรรถภาพตัวเองว่าสามารถทำระยะได้ไกลแค่ไหนภายในเวลา 10 ชั่วโมง ปีหน้าผมจะสมัครอีกแน่ครับ และจะพยายามทำระยะให้ได้ถ้วยให้จงได้ สู้!