Monday, May 5, 2014

Running Event 2014-05-04 : SUAN PRUEK 99 ULTRA MARATHON 2014

Race #36 : Ultra Marathon #1 : SUAN PRUEK 99 ULTRA MARATHON 2014

Race Detail
งานนี้เป็นงานวิ่งในสวนนวมินทร์ภิรมย์ความยาว 2.1 กิโลเมตร โดยจำกัดเวลาวิ่งที่ 10 ชั่วโมง วิ่งทำรอบให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยถ้าสามารถทำได้ 30 รอบ หรือ 63 กิโลเมตร จะได้รับถ้วย

Race Kit Collection Day
ที่จริงอยากจะไปลองซ้อมวิ่งที่สวนนวมินทร์ภิรมย์ดูบ้าง จะได้กะระยะการวิ่งและเดินเพื่อพักได้ และดูอุปสรรคในการวิ่งเพื่อวางแผนเพิ่มเติม แต่สุดท้ายกว่าจะได้มาที่สวนก็วันนี้แหละ วันรับเสื้อและเบอร์ ซึ่งตอนที่ไปถึงก็ไม่ได้ดูอะไรมากมาย ถามแค่เรื่องการฝากของและรับของระหว่างการแข่งขัน ทางทีมงานก็แจ้งว่าฝากไว้แล้วจะมารับและฝากเมื่อไหร่ก็ได้ในระหว่างการแข่งขัน เผื่อต้องการเปลี่ยนเสื้อผ้า หรือเอาของอะไรจากที่ฝากไว้ก็สามารถทำได้

สิ่งที่อยู่ใน Race Kit ก็คือ เสื้อ (สวยนะผมชอบ), Bib และ chip แบบติดกับรองเท้า (และต้องคืน), น้ำดื่ม ธ.ออมสิน, Salonpas

Race Day
มาจอดรถที่การเคหะประมาณตีห้ากว่า ๆ เนื่องจากทางผู้จัดแนะนำว่าควรมาจอดที่นี่ แต่ก็เห็นรถจอดอยู่ริมสวนยาวเป็นพรืดเลย ไม่รู้มันทำให้เกะกะคนแถวนั้นหรือเปล่านะ แต่ผมก็ทำตามคำแนะนำแหละ เอาสบายใจตัวเอง เดินไกลอยู่ แต่ก็ไม่ได้น่ากลัวอะไรสำหรับผู้ชายหน้าเหี้ยมแบบผม หุหุ

Race Plan
ตัดสินใจประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนแข่งว่าจะเดิน 500 เมตร สลับกับวิ่ง 500 เมตร ไปเรื่อย ๆ ให้ได้ 30 รอบ ในเวลา 10 ชั่วโมง นั่นคือโดยเฉลี่ยต้องทำเวลาต่อรอบอยู่ที่ 20 นาที แต่คิดว่า 18 นาทีน่าจะสามารถทำได้ ก็ต้องลองดู

Longest-ever Day Start
ก่อนเริ่มเจอกับนัท เพื่อนที่วิศวะ ก็ดีใจนะ รู้สึกดีที่มีเพื่อนมาวิ่งด้วย แม้ว่าจะไม่ได้วิ่งด้วยกันตลอดทางแต่ทางมันก็วน ๆ กันแค่นี้แหละ คงจะได้เจอกันเรื่อย ๆ

พอเริ่มการแข่งขัน ซึ่งเริ่มพร้อมกันทั้งประเภทเดี่ยวและทีม ผมก็ค่อย ๆ ไปช้า ๆ ตามสไตล์หอยทากนักวิ่ง รอบแรกเป็นการสำรวจป้าย ซุ้มน้ำ และทางวิ่ง พบว่ามีสะพานอยู่ที่ระยะ 400 - 600 เมตร และ 1400 - 1600 เมตร ซึ่งผมกะว่าจะไม่วิ่งข้ามสะพานอยู่แล้ว ประกอบกับมีซุ้มให้น้ำอยู่ที่ระยะ 400 เมตร และ 1600 เมตรพอดี จึงวางแผนดังนี้

  1. วิ่งไปจนถึงระยะ 400 เมตร หยุดเพื่อรับน้ำ
  2. เดินข้ามสะพาน และเดินต่อจนถึงระยะ 800 เมตรจึงวิ่ง
  3. วิ่งจนถึงระยะ 1400 เมตร ให้เดินข้ามสะพานและไปรับน้ำที่ระยะ 1600 เมตร
  4. ถึงระยะ 1800 เมตรให้วิ่ง แล้ววนกลับไปข้อ 1
นั่นก็คือใน 1 กิโลเมตรผมจะเดิน 400 เมตร และวิ่ง 600 เมตร คิดว่าไม่น่าจะทำให้แผน 500-500 ของผมเสียหายอะไร แต่ผมว่าผมคิดผิดนะ แผนนี้เดินมากเกินไปหรือเปล่า?

Half Marathon
ดำเนินแผนการวิ่งได้เป็นอย่างดีใน 10 รอบแรก วิ่งและเดินสบาย ๆ ทำเวลาได้ดีทีเดียว จบ 10 รอบในเวลา 3 ชั่วโมง นั่นคือได้กำไรอยู่ 1 รอบเต็ม ๆ (ตามแผนหยาบ 20 นาทีต่อรอบ เวลา 3 ชั่วโมงควรได้แค่ 9 รอบ) ไม่ค่อยเหนื่อย แดดยังไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่ เพราะเป็นช่วงเวลา 6.00 - 9.00 เท่านั้นเอง ถือว่าผ่านระยะ Half Marathon ไปได้ด้วยดี ในใจก็คิดว่า น่าจะผ่าน 30 รอบได้สบาย ๆ แล้ว แต่...

Full Marathon
รอบที่ 11 - 15 (ระยะ 21 - 31.5 กิโลเมตร) ช้าลงนิดหน่อย รู้สึกว่าเหนื่อยขึ้น และกล้ามเนื้อมียุบบ้าง ใช้เวลาไป 1 ชั่วโมง 39 นาที (99 นาที) ก็เรียกว่าเท่าทุน เพราะยังอยู่ในเกณฑ์ 20 นาทีต่อรอบ แต่ไม่ได้กำไรเพิ่มขึ้น ซึ่งนั่นเป็นสัญญาณอันตรายในระยะต้น

รอบที่ 16 - 20 (ระยะ 31.5 - 42 กิโลเมตร) เป็นช่วงที่เริ่มเหนื่อยมาก ต้องสลับไปเดินนานขึ้น และมีอาการบาดเจ็บที่เข่า โดยใช้เวลาไป 1 ชั่วโมง 55 นาที (115 นาที) นี่เป็นจุดที่ทำให้ผมรู้ตัวว่า พลาดแล้วหละ เพราะเวลาที่เหลืออยู่อีก 3 ชั่วโมงครึ่ง ด้วยความเหนื่อยระดับนี้ และอาการบาดเจ็บที่พับในเข่าขวา คงไม่อาจจะปั๊มอีก 10 รอบได้ทัน จิตตกและเดินปลงอยู่พักใหญ่ ๆ

Ultra "Walk" Marathon
หลังจากรอบที่ 20 (ระยะ 42 กิโลเมตรเป็นต้นไป) "ทุกอย่างก้าวคือความเจ็บปวด" วิ่งไม่ได้แล้ว เดินอย่างเดียว พอเดินไปพักใหญ่ ๆ ลองวิ่ง ก็วิ่งได้พักเดียว ปวดพับในเข่าขวามาก จนคิดว่า "เลิกดีมั้ยวะ อาการแย่ขนาดนี้" มีรอบนึงไปถึง Check Point แล้วน้องกิ๊ปเดินมาคุยด้วย บอกน้องว่า พี่ไม่ไหวแล้ว น้องก็ให้กำลังใจมาว่า ไปพักกินอะไรก่อนนะ แล้วค่อยไปต่อ ทำให้ผมคิดได้ว่า "ไหน ๆ ก็มาแล้ว เดินให้ครบเวลาก็แล้วกัน"

ช่วงรอบที่ 21 - 25 มีหยุดนั่งเป็นพัก ๆ แต่พอถึง Check Point รอบที่ 25 เห็นเวลา 9 ชั่วโมงนิด ๆ คิดว่าถ้าเดินไม่พัก น่าจะได้ซัก 2 รอบ ทำให้รอบที่ 26 - 27 เดินตลอด ไม่หยุดเลย เข้าเส้นชัยเวลา 9 ชั่วโมง 52 นาที แล้วก็หยุดเพื่อคืน Chip สรุปว่าทำไปได้ทั้งหมด 27 รอบ คิดเป็นระยะทาง 56.7 กิโลเมตร

The Crowd
สิ่งที่ไม่อาจละเลยได้ในงานนี้ก็คือทีมงานและกองเชียร์ทุกท่าน ที่อดทนทำหน้าที่และเชียร์ตลอด 10 ชั่วโมง ทั้งร้อน ทั้งเหนื่อยไม่แพ้นักกีฬาเลย นับถือน้ำใจทุกท่านครับ อ้อ ลุงสวง กองเชียร์อัลตร้า ผมเห็นท่านยืนตบมือเขียร์ตลอด 10 ชั่วโมง ไม่แพ้นักกีฬาเลย พอวิ่ง (และเดินผ่าน) ท่านจะตบมือและพูดให้กำลังใจทุกคน ทุกครั้ง ขอบคุณครับลุง ปีหน้าเจอกันใหม่แน่นอน

เรื่องอาหารและน้ำสำหรับงานนี้เรียกว่าโคตรเหลือเฟือครับ เท่าที่เห็นมีซุ้มน้ำของทีมผู้จัดงาน 2 ซุ้มที่ระยะ 400 เมตร และ 1600 เมตร และมีของกิน 1 ซุ้ม (ที่ระยะ 1400 เมตร) ซึ่งไม่เคยพร่อง น้ำมีตลอด ของกินจัดเต็ม ผมแวะกินน้ำแทบทุกครั้ง โดยใช้แก้วใบไม้ บางรอบจะกินน้ำผสมเกลือแร่ด้วย ส่วนอาหารผมชอบกินมันต้มรอบเว้นรอบ เพราะมันไม่เปื้อนมือ และกินง่ายดี มีอยู่รอบนึง น่าจะประมาณเที่ยงวัน กลัวหิวเลยกินไก่ทอดและไอติมไปด้วย

นอกจากน้ำและอาหารลองผู้จัดงานเอง ก็ยังมีจากซุ้มต่าง ๆ ที่แต่ละชมรมและกลุ่มเตรียมมาปันให้นักวิ่งทุกคน โดยไม่เลือกว่าเป็นคนที่ตัวเองรู้จักหรือไม่ ผมได้ข้าวเหนียวจากทีมวิ่งตีนเปล่า ได้น้ำจากเครซี่รันนิ่ง ทอฟฟี่เค้กจากเสี่ยดำ ได้น้ำตาลสดจาก... เอิ่ม... ขอโทษครับจำไม่ได้จริง ๆ ว่าซุ้มไหน แต่เป็นซุ้มที่อยู่ใกล้ ๆ Check Point

"ขอขอบคุณกองเชียร์และทีมงานทุกท่านจากใจครับ"

The Heat

ที่ Check Point จะมีป้าย LED อยู่ 2 ป้าย โดยจะแสดงเวลา และอุณหภูมิของอากาศในขณะนั้น ได้ยินพิธีกรประกาศว่าอุณหภูมิสูงสุดของวันนี้คือ 43 องศาเซลเซียส ในช่วงเวลาใกล้ ๆ เที่ยง ซึ่งมันร้อนจริง ๆ แดดเผาแรงสะใจมาก ผมต้องใช้ Naroo mask ปิดคอไว้ตลอด แทบจะพันหน้าเป็นมัมมี่เลยทีเดียวแหละ

แต่ความร้อนเหล่านี้ก็บรรเทาได้ด้วยน้ำเย็น ๆ จากสปริงเกอร์ของทีมผู้จัด และน้ำใส่น้ำแข็งจากกองเชียร์นี่แหละ หลาย ๆ ซุ้มมีฟองน้ำชุบน้ำเย็นบริการ โดยมี 2 ซุ้มที่ผมเข้าไปรับน้ำเย็นบ่อย ๆ คือซุ้มของเครซี่รันนิ่ง และพี่ผู้หญิงท่านนึงแถว ๆ ระยะ 1400 เมตร ผมเห็นแกเล่นสนุกเหมือนเล่นสงกรานต์ ก็เลยสนุกไปกับแกด้วย สนุกดีครับ ขอบคุณทุกท่านที่นำความเย็นมาช่วยดับร้อนให้นักกีฬาครับ

Finally, it's rain
หลังจากแดดเผามาตั้งแต่ก่อนเที่ยง ก็ยังไม่เห็นสัญญาณว่าจะมีฝนตก จนกระทั่งชั่วโมงท้าย ๆ ฝนเริ่มตั้งเค้า และ... ตกครับ ก็ดีใจนะที่ฝนตก แต่มาตกอะไรตอนเน้ ไม่ตกไปตั้งแต่ 43 องศาหละแม้... สงสัยเกรงใจผู้จัด เดี๋ยวงานนี้จะไม่โหดสะใจ หุหุ ซึ่งการตกปรอย ๆ แบบนี้ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เพราะมันทำให้ความร้อนจากพื้นระอุขึ้นมาอีก แต่เนื่องจากเป็นรอบท้าย ๆ ที่ผมปลงแล้ว เดินอย่างเดียว ก็เลยไม่มีผลเท่าไหร่

บทสรุป
ผมชอบงานวิ่งนี้นะ โหด แต่สบายใจที่จะได้วิ่ง และทำให้ผมได้ทดสอบสมรรถภาพตัวเองว่าสามารถทำระยะได้ไกลแค่ไหนภายในเวลา 10 ชั่วโมง ปีหน้าผมจะสมัครอีกแน่ครับ และจะพยายามทำระยะให้ได้ถ้วยให้จงได้ สู้!